จับตา!ภาคประกันวินาศภัยสิงคโปร์ คาดปี’66-67 โต 6.9%และ 5.6% ชี้ตลาด PA&H  ซึ่งเป็นเซกเมนต์ใหญ่สุดโตเยอะสุด  รับดีมานด์ประกันสุขภาพพุ่งขึ้นเรื่อยๆ หลังโควิด  บวกอานิสงส์จากภาครัฐทุ่มลงทุนก้อนโตโปรเจกต์โครงสร้างพื้นฐาน  กฎบังคับการขอสินเชื่อบ้านต้องทำประกันอัคคีภัย ดันประกันทรัพย์สินขยายตัว แถมเงินเฟ้อกระชากค่าเบี้ยประกันแพงขึ้นอีกทาง ฟากแบงก์ชาติสิงคโปร์หนุนประชาชนอยู่ดีกินดี ใช้ระบบประกันภัยเป็นหนึ่งในเครื่องมือ  ชี้สารพัดปัจจัยบวกหนุนเบี้ยประกันโตต่อเนื่อง คาดพุ่งแตะ”นิวไฮ”  ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า    

เว็บไซต์ Insurance Business America รายงานข้อมูลจากบริษัท โกลบอลดาต้า(GlobalData)   คาดการณ์ อุตสาหกรรมประกันวินาศภัยของสิงคโปร์จะเติบโต 6.9% ในปี 2566 และ 5.6% ในปี 2567 เป็นผลจากรัฐบาลมีการลงทุนในโครงการโครงสร้างพื้นฐานและความต้องการประกันสุขภาพที่เพิ่มขึ้นหลังการระบาดของโควิด-19

โกลบอลดาต้า คาดว่า อุตสาหกรรมประกันวินาศภัยของสิงคโปร์จะเติบโตด้วยอัตราการเติบโตต่อปี (CAGR) ที่ 5.8% โดยจะมีเบี้ยประกันภัยรับรวม(GWP) เพิ่มขึ้นจาก 5.54 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (4.02 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) (1ดอลลาร์สิงคโปร์ประมาณ26บาท) ในปี 2566 เป็น 7.35 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (5.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ในปี 2571

                Swetansha Chauhan นักวิเคราะห์ประกันภัยบริษัท โกลบอลดาต้า กล่าวว่า  “หลังจากได้เห็นการเติบโตที่สูงในปี 2564 และ 2565 คาดว่า การเติบโตของอุตสาหกรรมประกันวินาศภัยของสิงคโปร์จะชะลอตัวลงตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นไป

“ปัจจัยต่างๆทั้งสภาวะเศรษฐกิจที่มีการเปลี่ยนแปลง   อัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น และความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ คาดว่าจะทำให้ธุรกิจประกันวินาศภัยเติบโตช้าลงในปี 2566”

ปัจจุบัน ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคลและประกันสุขภาพ (PA&H) เป็นธุรกิจประกันภัยที่มีส่วนแบ่งการตลาด(market share) มากที่สุดในภาคประกันวินาศภัยของสิงคโปร์ โดยคาดว่า ในปี 2566   กลุ่ม PA&H  จะมีเบี้ยประกันภัยคิดเป็นส่วนแบ่งการตลาด 23.9% ของเบี้ยประกันวินาศภัยทั้งระบบ  แซงประกันภัยรถยนต์ซึ่งครองส่วนแบ่งการตลาดสูงสุดในทศวรรษที่ผ่านมา เป็นผลมาจากตลาด PA&H มีอัตราการเติบโตสูงถึง 32.6%  ในปี 2565 สาเหตุหลักมาจากความต้องการประกันสุขภาพที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากการตระหนักรู้ที่เพิ่มขึ้นในหมู่ประชาชนหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19  กอปรกับค่ารักษาพยาบาลที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากอัตราเงินเฟ้อ และทั่วโลกได้ผ่อนคลายข้อจำกัดด้านการเดินทางหลังโควิด-19 สิ้นสุดลงทำให้ประชาชนมีการเดินทางกันมากขึ้น

การเติบโตของประกันภัย PA&H   ยังเป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบ โดยเมื่อต้นปี 2566 กระทรวงแรงงานของสิงคโปร์ได้บังคับใช้กฎระเบียบใหม่ว่าด้วยการประกันสุขภาพสำหรับแรงงานต่างชาติทั้งใหม่และเก่า รวมถึงแรงงานข้ามชาติที่ทำงานบ้านและผู้ถือบัตรผ่านการจ้างงานระยะสั้น (S Pass)   ยิ่งกว่านั้น รัฐบาลยังเสนอเงินอุดหนุนต่างๆ เพื่อช่วยเหลือนายจ้างในการจัดหาประกันสุขภาพสำหรับแรงงานต่างชาติ  จากปัจจัยบวกข้างต้นคาดว่า ตลาดประกันภัย PA&H จะมีอัตราการเติบโตต่อปีที่ 6.6% ในช่วงปี 2566-2571

ประกันทรัพย์สินหนุนเติบโต

Motorขาลงเจอปัจจับลบเยอะ

โกลบอลดาต้ากล่าวว่า  ประกันภัยทรัพย์สิน เป็นธุรกิจที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่สองในธุรกิจประกันวินาศภัยของสิงคโปร์  โดยมีเบี้ยประกันภัยรับรวมคิดเป็นส่วนแบ่งการตลาด  19.1% ในปี 2566  ซึ่งการขยายตัวของประกันภัยทรัพย์สินขับเคลื่อนด้วยการประกันอัคคีภัย ซึ่งเป็นประกันภัยภาคบังคับตามข้อกำหนดของคณะกรรมการพัฒนาและที่อยู่อาศัย  (Housing and Development Board :HDB) เมื่อประชาชนได้รับสินเชื่อบ้าน

นอกจากนี้ การเติบโตของภาคการก่อสร้างและการลงทุนในโครงการโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญจะช่วยเพิ่มการขยายตัวของประกันภัยทรัพย์สินอีกด้วย โดยการอาคารและการก่อสร้าง Building and Construction Authority (BCA) คาดว่า รัฐบาลจะมีการเซ็นสัญญามูลค่าสูงถึง 3.2 หมื่นล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (2.3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ) ในภาคการก่อสร้างในปี 2566 นี้ ซึ่งจะสนับสนุนการขยายตัวของประกันภัยทรัพย์สินเช่นกัน โดยคาดว่า ประกันภัยทรัพย์สินจะมีอัตราการเติบโตต่อปีที่  6.2% ในช่วงปี 2566-2561

สำหรับประกันภัยรถยนต์ มีส่วนแบ่งการตลาดมากเป็นอันดับที่สาม โดยคาดว่าจะมีเบี้ยประกันภัยคิดเป็นส่วนแบ่งการตลาด 18.4% ของเบี้ยประกันวินาศภัยทั้งระบบในปี 2566  ซึ่งข้อมูลจากองค์การขนส่งทางบกระบุว่า  ในปี 2565 ตลาดประกันภัยรถยนต์ในสิงคโปร์ขยายตัวลดลง 7.9%  สาเหตุหลักมาจากยอดขายรถยนต์ที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ  ขณะที่ค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนรถยนต์ที่ปรับเพิ่มขึ้นเมื่อเดือนมีนาคมสำหรับการซื้อรถยนต์ระดับไฮเอนด์ส่งผลกระทบต่อราคารถยนต์และยอดขายในเวลาต่อมา

                โกลบอลดาต้ากล่าวว่า ปัจจัยที่เพิ่มเติมเข้ามานอกเหนือจากสถานการณ์ดังกล่าวคือการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทาน (supply chains)  ทั่วโลกและการปรับขึ้นค่าธรรมเนียมใบรับรองสิทธิ (certificate of entitlement (COE)(เอกสารการครอบครองรถยนต์ในสิงคโปร์) ที่ปรับเพิ่มขึ้นอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน ส่งผลให้ราคารถยนต์สูงขึ้น กระทบยอดขายรถยนต์ลดลง โดย COE เป็นระบบจำกัดจำนวนรถยนต์ของรัฐบาลสิงคโปร์ โดยผู้ถือ COE มีสิทธิ์ครอบครองรถยนต์ได้เป็นเวลา 10 ปี เมื่อครบเวลาดังกล่าวจะต้องทำลายรถยนต์หรือส่งออกรถยนต์หรือต่ออายุ COE ไปอีกหนึ่งครั้งมีกำหนด 5 หรือ 10 ปี (ต่ออายุได้เพียงครั้งเดียว)  ซึ่งCOE ส่งผลกระทบอย่างมากต่อต้นทุนการเป็นเจ้าของยานพาหนะใหม่

สำหรับประกันภัยประกันความรับผิดบุคคลที่สาม ประกันภัยสายการบิน ประกันภัยการเดินเรือ การบิน และการคมนาคมขนส่ง (MAT) และการประกันภัยเบ็ดเตล็ด ครองส่วนแบ่งการตลาดรวมกันในส่วนที่เหลืออีก 38.6%  

“ในปี 2565 สัดส่วนเบี้ยประกันวินาศภัยต่อจีดีพีในสิงคโปร์อยู่ที่ 0.8% ต่ำกว่าประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (APAC) อาทิ  เกาหลีใต้ (1.5%) ญี่ปุ่น (1.8%) จีน (1.2% ) และฮ่องกง (1.7%) สะท้อนถึงศักยภาพในการเติบโตยังมีอยู่อีกมากสำหรับบริษัทประกันวินาศภัยไปในสิงคโปร์  ซึ่งความต้องการประกันสุขภาพที่เพิ่มสูงขึ้น การประกันอัคคีภัยภาคบังคับ และราคาเบี้ยประกันภัยที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากอัตราเงินเฟ้อ จะช่วยสนับสนุนการเติบโตของอุตสาหกรรมประกันวินาศภัยในสิงคโปร์ในอีก 5 ปีข้างหน้าด้วย” Chauhan กล่าว

ปัจจุบัน ธนาคารกลางสิงคโปร์ (Monetary Authority of Singapore :MAS)  ซึ่งได้มีความร่วมมือกับหน่วยงานกำกับดูแลการเงินหลายประเทศได้เปิดเผยแนวทางการวางแผนทางการเงินขั้นพื้นฐานที่มุ่งส่งเสริมให้ชาวสิงคโปร์สามารถสนับสนุนความเป็นอยู่ทางการเงินที่ดีขึ้นของพวกเขาได้

เพิ่มเราเป็นเพื่อนได้แล้ววันนี้!....