เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2567 นายพิชัย ชุณหวชิร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ลงนามคำ “สั่งปิด” บริษัท สินมั่นคงประกันภัย จำกัด (มหาชน) เป็นที่เรียบร้อย ตามมาตรา 59 แห่งพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535ตามที่ปรากฎหลักฐานต่อนายทะเบียน (สำนักงาน คปภ.) ว่า บริษัท สินมั่นคงฯ มีฐานะและการดำเนินการอยู่ในลักษณะอันอาจเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ผู้เอาประกันภัยหรือประชาชน

ซึ่งเป็นการสั่งปิดถาวร ยึดใบอนุญาตประกอบธุรกิจประกันวินาศภัยคืน สำนักงาน คภป. หลังจากยืดเยื้อมาอย่างยาวนานเป็นเวลาเกือบ 3 ปี  โดยลำดับเหตุการณ์ความไม่มั่นคงของบริษัท สินมั่นคงฯ ได้ดังนี้

  1. เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2565 เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) ได้ออกคำสั่งนายทะเบียนที่ 36/2565 ให้บริษัท สินมั่นคงประกันภัย จำกัด (มหาชน) ให้บริษัทเพิ่มทุนและแก้ไขฐานะการเงินให้เพียงพอต่อภาระผูกพันและให้มีอัตราส่วนของเงินกองทุนเพียงพอตามที่ กฎหมายกำหนดภายใน 1 ปี

แต่บริษัทได้อุทธรณ์คำสั่งนายทะเบียนดังกล่ าว ซึ่ง คปภ. ได้พิจารณาแล้วมีมติยกอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวตามมติที่ประชุม ครั้งที่ 1/2566  เมื่อวันศุกร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2566

  1. ต่อมาวันที่ 18 พฤษภาคม 2565 บริษัทยื่นคำร้องต่อศาลล้มละลายกลางเพื่อขอฟื้นฟูกิจการ แล้วศาลล้มละลายกลางได้มีคำสั่งรับคำร้องดังกล่าว

ซึ่งตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช 2483 มาตรา 90/12 (3) กำหนดว่า นับแต่วันที่ศาลมีคำสั่งรับคำร้องขอไว้เพื่อพิจารณาจนถึงวันครบกำหนดระยะเวลาดำเนินการตามแผน หรือวันที่ดำเนินการเป็นผลสำเร็จตามแผน หรือวันที่ศาลมีคำสั่งยกคำร้องขอหรือจำหน่ายคดีหรือยกเลิกคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการหรือยกเลิกการฟื้นฟูกิจการหรือพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดชาด ห้ามมิให้กรมการประกันภัย ซึ่งในปัจจุบันคือ สำนักงาน คปภ. สั่งให้เพิกถอนใบอนุญาตประกอบกิจการของลูกหนี้ หรือสั่งให้ลูกหนี้หยุดประกอบกิจการ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาลที่รับคำร้องขอ

  1. บริษัทไม่ดำเนินการเพิ่มทุนและแก้ไขฐานะการเงินให้เป็นไปตามคำสั่งนายทะเบียน ดังกล่าว และเมื่อครบกำหนดระยะเวลา 1ปี ตามคำสั่งนายทะเบียนบริษัทได้ยื่นคำขอขยายระยะเวลาแก้ไขฐานะและการดำเนินการตามคำสั่งนายทะเบียนดังกล่าวออกไป โดยอ้างเหตุผลว่าอยู่ในระหว่างการดำเนินกระบวนการพื้นฟูกิจการตามพระราชบัญญัติลัมละลาย พุทธศักราช 2483 ของศาลล้มละลายกลาง
  2. เมื่อเป็นเช่นนี้ในวันที่ 27 กันยายน พศ. 2566 เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้จัดประชุมเจ้าหนี้ เพื่อพิจารณาแผนฟื้นฟูกิจการ ซึ่งปรากฎผลการนับคะแนนว่า แผนฟื้นฟูกิจการไม่ได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุมเจ้าหนี้ แต่ผู้ทำแผนยื่นคำร้องคัดค้านการนับคะแนนการลงมติของเจ้าหนี้กับศาลล้มละลายกลาง ซึ่งศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้ตรวจสอบกระบวนการและขั้นตอนที่เกี่ยวช้องในการลงมติล่วงหน้าของเจ้าหนี้ โดยศาลล้มละลายกลางนัดฟังคำสั่งในวันที่ 15 ธันวาคม 2566
  3. เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2566 เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้รายงานการนับผลลงมติของเจ้าหนี้ผู้มีสิทธิออกเสียงเกี่ยวกับแผนฟื้นฟูกิจการ ซึ่งปรากฎว่า คะแนนการลงมติของเจ้าหนี้ไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม โดยเจ้าหนี้ไม่เห็นชอบด้วยแผนฟื้นฟูกิจการ และในวันดังกล่าวศาลล้มละลายกลางได้มีคำสั่งยกเลิกคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการและแจ้งคำสั่งดังกล่าวให้คู่ความทุกฝ่ายทราบผลคำสั่งตามกฎหมายแล้ว
  4. เมื่อศาลลัมละลายกลางมีคำสั่งให้ยกเลิกคำสั่งให้พื้นฟูกิจการ อำนาจหน้าที่ในการจัดการกิจการและทรัพย์สินของลูกหนี้ คือ “บริษัท” จึงกลับไปเป็นของผู้บริหารของบริษัท และให้ผู้ถือหุ้นของบริษัทกลับมีสิทธิตามกฎหมายต่อไป นอกจากนี้ การยกเลิกคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการดังกล่าวยังส่งผลให้การกำกับดูแลบริษัทกลับมาเป็นของ “สำนักงาน คปภ.” ตามกฎหมายว่าด้วยประกันวินาศภัย

               จากข้อเท็จจริงที่ปรากฏดังกล่าว นายทะเบียนด้วยความเห็นชอบของ คณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ตามมติที่ประชุมครั้งที่ 12/2566 เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2565 จึงอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 52 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 ซึ่งแก้ไข เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2551 ออกคำสั่งนายทะเบียนที่ 48/2566 เรื่องให้บริษัท สินมั่นคงประกันภัย จำกัด (มหาชน) หยุดรับประกันวินาศภัยเป็นการชั่วคราว

  1. นอกจากนี้ ได้ปรากฏข้อเท็จจริงต่อนายทะเบียนที่ จะนำเสนอรัฐมนตรีใช้อำนาจสั่งเพิกถอนใบอนุญาตประกอบธุรกิจประกันวินาศภัยตามมาตรา 57 แห่งพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 ดังนี้

(1) ฐานะการเงินและผลการดำเนินงาน ณ วันที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2566 บริษัทมีหนี้สินมากกว่าทรัพย์สิน จำนวน 33,080.22 ล้านบาท  จัดสรรเงินสำรองตามมาตรา 23 ไม่ครบถ้วน จำนวน 35,054.71 ล้านบาท จัดสรรสินทรัพย์ไว้สำหรับหนี้สินและภาระผูกพันตามมาตรา 27/4 ไม่เพียงพอจำนวน 36,419.71 ล้านบาท และบริษัทมีค่สินไหมทดแทนค้างจ่าย จำนวนกว่า 30,000 ล้านบาท

เมื่อพิจารณาจากฐานะการเงินของบริษัท แสดงให้เห็นว่า บริษัทไม่มีทรัพย์สินเพียงพอที่จะสามารถจ่ายค่าสินไหมทดแทนตามสัญญาประกันภัยให้แก่ผู้เอาประกันภัยให้ครบถ้วนภายในระยะเวลาที่กรมธรรม์ประกันภัยและกฎหมายกำหนด และไม่มีความสามารถในการชำระหนี้ตามสัญญาประกันภัยที่ บริษัทมีภาระผูกพันที่มีอยู่กับผู้เอาประกันภัยได้ และจากการที่ สำนักงาน คปภ. ได้สอบถามและติดตามความคีบหน้าจากบริษัทเกี่ยวกับการแก้ไขฐานะการเงินให้เพียงพอต่อภาระผูกพัน

และให้มีอัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุนเพียงพอตามที่กฎหมายกำหนด และไม่ปรากฎหลักฐานที่ขัดเจนว่าบริษัทจะเพิ่มทุนเพื่อแก้ไขฐานะการเงินอย่างแน่นอน จึงแสดงให้เห็นชัดเจนว่า บริษัทมีหนี้สินเกินกว่าทรัพย์สินและมีฐานะการเงินไม่มั่นคง ซึ่งหากประกอบธุรกิจต่อไปจะทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้เอาประกันภัยหรือประชาชน ตามมาตรา 59 (1) และ (5) แห่งพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535  

(2) บริษัทมีการกระทำอันเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม หรือประกาศที่ออกหรือกำหนดตามความในพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม หรือไม่ปฏิบัติดามคำสั่งของนายทะเบียนหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งสั่งการตามพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม และประวิงการจ่ายค่าสินไหมทดแทนที่ต้องจ่ายโดยไม่มีเหตุอันสมควรซึ่งทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้เอาประกันภัยหรือประชาชน ตามมาตรา 59 (2)(4) และ (5) แห่งพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 ดังนี้

(ก) บริษัทไม่ได้บันทึกรายการค่าสินไหมทดแทนในสมุดทะเบียนและสมุดบัญชีให้ถูกต้องครบถ้วนภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่มีเหตุอันจะต้องลงรายการนั้น อันเป็นการฝ้าฝืนบทบัญญัติมาตรา 44 แห่งพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535

(ข) บริษัทไม่จ่ายค่าสินไหมทดแทนตามสัญญาประกันภัยให้แก่ผู้เอาประกันภัยผู้รับประโยชน์ บุคคลผู้มีสิทธิเรียกร้อง หรือผู้ได้รับความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัย ให้ครบถ้วนภายในระยะเวลาที่กรมธรรม์ประกันภัยและกฎหมายกำหนด ซึ่งเป็นการประวิงการจ่ายค่าสินไหมทดแทนที่ต้องจ่ายโดยไม่มีเหตุอันสมควร อันเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 36แห่งพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 ประกอบกับประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และระยะเวลาที่ถือว่าเป็นการประวิงการใช้เงินหรือประวิงการคืนเบี้ยประกันภัยของบริษัทประกันวินาศภัย

(ค) บริษัทไม่กระทำการแจ้งผลการพิจารณาค่าสินไหมทดแทนภายในระยะเวลาที่ บริษัทกำหนด เป็นความผิดตามมาตรา 37(11) แห่งพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 ซึ่งแก้ไขมเติมโดยพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2551 ประกอบกับประกาศคณะกรรมการะส่งเสริมการประกอบธุกิจประกันภัยเรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการชดใช้เงิน หรือค่าสินไหมทดแทนตามสัญญาประกันภัยของบริษัทประกันวินาศภัย พ.ศ. 2559

(ง) บริษัทจัดสรรเงินสำรองสำหรับเบี้ยประกันภัยที่ยังไม่ตกเป็นรายได้ของบริษัทและเงินสำรองสำหรับคำสินไหมทดแทนไม่ครบถ้วนตามที่ กฎหมายกำหนด อันเป็นการฝ่าฝืนตามมาตรา 23 แห่งพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2551 ประกอบกับประกาศคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย เรื่องหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการจัดสรรเงินสำรองสำหรับเบี้ยประกันภัยที่ยังไม่ตกเป็นรายได้ เงินสำรองสำหรับคำาสินไหมทดแทน และเงินสำรองอื่นของบริษัทประกันวินาศภัย พ.ศ. 2554

(3) เมื่อศาลลัมละลายกลางยกเลิกคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการ บริษัทได้เลิกจ้างพนักงานทั้งหมดรวมจำนวน 1,456 คน และจ่ายเงินค่าจ้างและค่าชดเซยแรงงานทั้งหมดแล้วภายในวันดังกล่าว พฤติการณ์แสดงให้เห็นชัดเจนว่าบริษัทไม่ประสงค์จะประกอบธุรกิจประกันวินาศภัยอีกต่อไป

จากข้อเท็จจริงและหลักฐานที่ปรากฎดังกล่าว ทำให้มีบทสรุปในวันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2567 “นายพิชัย ชุณหวชิร”  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พิจารณาแล้วเห็นว่า

บริษัทมีฐานะการเงินไม่มั่นคงและไม่เพียงพอต่อภาระผูกพัน รวมถึงบริษัทไม่มีแนวทางในการแก้ไขฐานะการเงิน มีประวิงการจ่ายค่าสินไหมทดแทนที่ต้องจ่ายโดยไม่มีเหตุอันสมควรอันทำให้ผู้เอาประกันภัยและประชาชนได้รับความเสียหาย อันเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งกฎหมายหลายประการ บริษัทไม่มีความสามารถและความพร้อมที่จะรับประกันภัยและประกอบธุรกิจประกันวินาศภัยได้ต่อไป

ถ้าให้ประกอบธุรกิจประกันวินาศภัยต่อไป จะทำให้เกิดความเสียหายต่อประชาชนหรือผู้เอาประกันภัย ตลอดจนความน่าเชื่อถือของธุรกิจประกันภัย ดังนั้น อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 59 (1)(2)(4) และ (5) แห่งพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 จึงมีคำสั่งให้ “เพิกถอนใบอนุญาต” ประกอบธุรกิจประกันวินาศภัยของ “บริษัทสินมั่นคงประกันภัย จำกัด (มหาชน)

 และหากบริษัทไม่เห็นด้วยกับคำสั่งนี้ มีสิทธิเสนอคำฟ้องยื่นต่อศาลปกครองกลางภายใน 90 วัน นับแต่วันที่ได้รับทราบคำสั่ง (สั่ง ณ วันที่  4 กรกฎาคม พ.ศ. 2567) นั่นเอง!!

เพิ่มเราเป็นเพื่อนได้แล้ววันนี้!....