DPUX มธบ. เปิดผลวิจัยชิ้นแรกของประเทศ แรงงานไทยปรับตัวอย่างไรให้รอด? จาก  AI

 ดร.พณชิต กิตติปัญญางาม ผู้อำนวยการสถาบัน DPU X แห่งมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ และหนึ่งในผู้ร่วมศึกษาวิจัยเรื่อง ทักษะแรงงานในอนาคตของไทย (Skill Set for Future Workforce in Thailand)  เปิดเผยว่า การพัฒนาเทคโนโลยีที่ก้าวไปอย่างรวดเร็ว และปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligent : AI) เริ่มมีบทบาทมากขึ้น โดยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา มีงานเขียน บทความ งานวิจัย จากทั่วโลกนำเสนอเรื่องของ AI และผลกระทบที่จะเกิดกับแรงงานมนุษย์ และเมื่อ AI สามารถทำงานทดแทนทักษะบางอย่างของมนุษย์ได้ แล้วแรงงานจะต้องปรับตัวอย่างไรเพื่อให้อยู่รอดจากการเพิ่มขึ้นของ AI   จึงเป็นที่มาของการศึกษาวิจัยเรื่อง ทักษะแรงงานในอนาคตของไทย (Skill Set for Future workforce in Thailand)  

ทั้งนี้ สถาบันการศึกษามีความสำคัญในโลกยุคปัจจุบันและอนาคตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะ การปรับเปลี่ยนรูปแบบการเรียนการสอนให้ตอบสนองความต้องการของแรงงานและผู้ประกอบการ เพื่อสร้างแรงงานที่มีทักษะให้มีความพร้อมต่อการทำงานในอนาคต  ซึ่งผลงานวิจัยดังกล่าวนี้จะเป็นทั้งเครื่องมือช่วยในเรื่องการปรับหลักสูตรการเรียนการสอนให้สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีและเป็นข้อมูลสำหรับประชาชนทั่วไป ได้สร้างความเข้าใจเกี่ยวกับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับแรงงานมนุษย์ เมื่อ AI เริ่มถูกนำมาใช้งานมากขึ้น

ดร.พณชิต กล่าวว่า  งานวิจัยชิ้นนี้ได้ศึกษาชุดทักษะแรงงานในอนาคตของไทย (Future Workforce) ผ่านช่วงเวลา (Timeline)   3 ช่วง ดังนี้  

1.ช่วงพัฒนา AI  ปี ค.ศ. 2020-2029   

2.ช่วงการทำงานร่วมกับ AI  ปี ค.ศ. 2030-2049  

3.ช่วงอยู่กับ AI  ปี ค.ศ. 2050-2060  

ดังนั้น การทำงานของแรงงานไทยในอนาคตจะต้องมี Skill Set อะไรบ้างนั้น โดยหลังทำการศึกษาวิจัย  แล้วพบว่า

ช่วงที่ 1 ตั้งแต่ปี คศ.2020-2029 เป็นช่วงพัฒนา AI โดย AI ยังไม่เก่งเท่ามนุษย์

มื่อ AI มีความสามารถเท่ามนุษย์ AI จะเปรียบเสมือนมนุษย์ที่ยังไม่เก่งมาก ยังไม่มีความคิดสร้างสรรค์ จึงสามารถทดแทนแรงงานบางอย่างได้ที่ไม่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ 

ดังนั้น ช่วงเวลานี้ทักษะที่จำเป็นสำหรับมนุษย์ ได้แก่  การออกแบบแนวคิด หรือ ความคิด (Design Thinking / Design mindset)  การเปลี่ยนแปลงแนวคิดที่พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา (adaptive thinking )   การใช้เทคโนโลยีแบบโมบาย (Mobile technology)  การทำงานร่วมกันเป็นทีม (collaboration) ในลักษณะ visual  โดยทีมไม่ต้องอยู่ในออฟฟิศด้วยกัน ทำงานที่ไหนก็ได้

สิ่งที่ AI ทำไม่ได้ คือ การใช้ความสามารถหรือทักษะของมนุษย์ในการตัดสินใจเกี่ยวกับความรู้สึก ทักษะด้านการเขียน Code ทักษะการใช้ New media เป็นช่วงของการเตรียมพร้อมของมนุษย์ในการบริหารจัดการข้อมูลขนาดใหญ่

ช่วงเวลาที่ 2 คศ.2030-2049  เป็นช่วงของการทำงานร่วมกับ AI

มนุษย์ต้องมีการพัฒนา Skill set เช่นกัน  มีการเปลี่ยนแปลงแนวความคิดในการทำงานใหม่อย่างเต็มรูปแบบ ทักษะการเรียนรู้สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ช่วงนี้แม้ว่าคนจะทำงานร่วมกับ AI เต็มรูปแบบ แต่ทักษะทางสังคมที่มีผลต่ออารมณ์ของคนก็มีความสำคัญเช่นกัน ( Social and emotion skills ) แม้ว่าเป็นช่วงที่ AI ช่วยทำงาน แต่มนุษย์ต้องทำงานไปด้วยกันกับ AI โดยเน้นการใช้ทักษะคิดวิเคราะห์ (analysis skill) การสร้างมูลค่า (Value Creation) ให้กับสินค้าหรือบริการ

ช่วงเวลาที่ 3 คศ.2050-2060 เป็นช่วงที่ชีวิตอยู่กับ AI

การพัฒนา AI ไปถึงขั้นที่ก้าวหน้าเหนือกว่ามนุษย์เป็นพันเท่า สามารถทำงานทดแทนแรงงานมนุษย์ได้อย่างเต็มรูปแบบ  ดังนั้น แรงงานมนุษย์ต้องมี skill set เพื่อการใช้ชีวิตที่มี AI ทำงานแทนคน เช่น  การทำงานร่วมกันแบบ virtual ที่มีการใช้ programming and consultantเป็นหลัก มีอาชีพใหม่ๆ เกิดขึ้น เช่น  อาชีพที่ปรึกษาด้านปรัชญา  นักออกแบบห้องเสมือนจริง  นักออกแบบอาชีพ นักออกแบบเวลาว่าง เป็นต้น

ดร.พณชิต กล่าวอีกว่า สำหรับประเทศไทยแล้ว การเปลี่ยนแปลงตามช่วงเวลาดังกล่าวคงมาช้ากว่าต่างประเทศ เนื่องจาก Skill set ที่เกี่ยวข้องกับผู้สร้าง AI เป็นได้น้อยมาก บริษัท ผู้สร้าง AI มีน้อย เราจะเป็นผู้ใช้ AI มากกว่า  ซึ่งทักษะที่ควรจะมีในปัจจุบันนี้ในมุมมองของผู้เชี่ยวชาญประกอบด้วย 

Creativity ความคิดสร้างสรรค์ เข้าใจเทคโนโลยี มี Soft skills และ analysis skills นำข้อมูลไปใช้งานให้เกิดประโยชน์

Digital skills การใช้เครื่องมือทางดิจิทัล ใช้ AI ได้โดยที่ไม่ต้องเป็นโปรแกรมเมอร์ เช่น ทำ Pilot กับลูกค้าที่เป็น accounting financeเข้ามาแล้วสอนให้เขารู้จักใช้เครื่องมือเขาสามารถนำไปใช้ในการ innovation ในงานได้

Quantitative analytical and statistical skills จะใช้ AI ต้องมีความรู้ Basic เรื่อง Data และ Big data

Mind Set การเตรียมความพร้อมในการปรับตัวทั้งรูปแบบในการทำงาน พร้อมการเรียนรู้ตลอดเวลา คนแต่ละช่วงอายุจะมีการ upskill และ reskill ที่แตกต่างกัน

People Management Skill   ปัจจุบันและอนาคตต้องมีการทำงานเป็นทีมมากขึ้น เยาวชนในยุคปัจจุบันจึงต้องรักษาสมดุลระหว่าง Hard Skill   และ   Soft Skill รวมถึง   Social Intelligence

Coding เป็นการฝึก Logic ในการคิดระบบ กระบวนการคิด เมื่อโตขึ้นจะสามารถพัฒนาเป็นการเชียนโปรแกรมก็จะเข้าใจมากขึ้น และ Coding จะเสริมสร้างเรื่องของ Cognitive Information Management

Biotech Literacy การวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้มาจากการเคลื่อนไหว หรือ Motion ทั้งหลาย ข้อมูลระดับยีนส์ ข้อมูลระดับ DNA

Data Skill คือ การใช้ข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ เข้าใจการวางโครงสร้างของข้อมูล สามารถวิเคราะห์ข้อมูลได้และต่อยอด เชื่อมโยง (Data Architect)

Internationalization ทักษะในการมองโลก การเห็นโลก และการเข้าใจโลก

Digital Footprint เยาวชนต้องเข้าใจ และตระหนักในการบันทึกอะไรไว้ใน Digital บ้าง มีพฤติกรรมอย่างไร ควรต้องเริ่มปลูกฝังการใช้ชีวิตบนดิจิทัล

สรุปผลการศึกษาเบื้องต้น ถึงแม้ว่างานการศึกษาจากต่างประเทศจะมีการคาดการณ์ทักษะในอนาคตไปยาวไกลถึง 50 ปีข้างหน้า  แต่ผู้เชี่ยวชาญที่ทีมนักวิจัยไปสัมภาษณ์ต่างมีความเห็นว่า เป็นการคาดการณ์ที่ไกลเกินไป ประกอบกับการเปลี่ยนแปลงในโลกปัจจุบัน ใช้เวลาในการเปลี่ยนแปลงสั้นมาก ความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องทักษะในอนาคตจึงมอง ณ ปัจจุบัน ไปจนถึงช่วงปี 2029 (ช่วงที่ 1 ในการศึกษาของงานศึกษานี้) ทักษะที่จำเป็นในอนาคตสำหรับแรงงานในประเทศไทย ประกอบด้วย  Creativity , Digital skills, Quantitative analytical , statistical skill  and People Management Skill  เป็นต้น ซึ่งล้วนเป็นทักษะด้าน Soft Skills ทั้งสิ้น

ส่วนปัญหาและอุปสรรคที่คัญคือ องค์กรจำนวนมากยังไม่มีการวางแผนและการลงทุนเกี่ยวกับเรื่องการพัฒนาทักษะเหล่านี้ให้กับบุคลากรในหน่วยงาน บุคลากรเองก็ยังไม่มีการวางแผนในการพัฒนาตนเองเนื่องจากต้นทุนในการ reskill และupskill นั้นยังสูงมาก  

ในขณะเดียวกัน ถ้าภาครัฐสามารถเข้ามาเป็นตัวกลางในการทำให้ปัญหาและอุปสรรคเหล่านี้ลดน้อยลง เช่น ออกนโยบายเกี่ยวกับการนำค่าใช้จ่ายในส่วนของการ reskill และ upskill มาลดหย่อนภาษี หรือให้เงินสนับสนุนจะทำให้การพัฒนาทักษะแรงงานในอนาคตมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับพัฒนาประเทศในอนาคต.  

เพิ่มเราเป็นเพื่อนได้แล้ววันนี้!.... เพิ่มเพื่อน