เคล็ด (ไม่) ลับการดูแลสุขภาพของ “คนจีน”
เป็นที่ทราบกันดีกว่า “จีน” เป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลก แต่จำนวนหรือสัดส่วนของประชากรวัยหนุ่มสาวที่เป็นคนรุ่นใหม่ที่มีจำนวนสูงสุดดังเช่นหลายๆ ประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ไม่ว่าจะเป็น เวียดนาม เมียนมาร์ หรือสปป.ลาว ซึ่งปัจจุบันสัดส่วนส่วนใหญ่คือ กลุ่มประชากร “ผู้สูงอายุ”!!!!
แต่ก็แปลกที่เรามักจะเห็นข่าวกันบ่อยๆ เกี่ยวกับ “คนที่อายุยืนที่สุดในโลก” ส่วนใหญ่อยู่ในแถบๆ ประเทศร่วมภูมิภาคไทยทั้งนั้น คือ ประเทศญี่ปุ่นและจีน วนๆเวียนๆกันอยู่สองประเทศ โอเค! สำหรับญี่ปุ่นแล้วเราสามารถจินตนาการได้เป็นอย่างดีถึงความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติ อาหารการกินของคนญี่ปุ่นที่กลายเป็นต้นแบบของหลากหลายเมนูสำหรับคนรักสุขภาพ ความเชี่ยวชาญในเรื่องเคล็ดลับการดูแลสุขภาพของตัวเองตั้งแต่วัยเริ่มต้นทำงาน
แต่เมื่อย้อนกลับมามองที่ “ประเทศจีน” สิ่งแรกที่เรามักจะคิดถึงก่อนอันดับแรก นั่นคือ การก้อปปี้สินค้าแบรนด์เนม บ้างก็นวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ เกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐาน หรือจะเป็นนิสัยใจคอของชาวจีนที่เรามักจะพบเห็นบ่อยๆ ที่มาท่องเที่ยวในประเทศไทยเป็นกลุ่มใหญ่ๆ หรือข่าวคราวที่เห็นกันบ่อยครั้งก็จะเป็นเรื่อง “มลพิษทางอากาศ” ซึ่งแน่นอนว่า ช่างดูขัดกับความเป็นจริงหลายๆระการที่เราเห็นมากมาย
การที่เรามีโอกาสได้เดินทางไปสัมผัสวิถีชีวิตของชาวจีนในช่วงหลายๆ วัน มีหลายสิ่งหลายอย่างทำให้เราได้มองเห็นในอีกด้านหนึ่งของชีวิตชาวจีน ประสบการณ์ใหม่เกิดขึ้นมากมาย ทำให้เราได้มองเห็นว่าแท้ที่จริง ชาวจีนส่วนใหญ่ทั้ง อุปนิสัย ที่ดูเป็นมิตรกับคนไทย ยิ้มแย้มเวลาเราเข้าไปคุยด้วย และที่สำคัญที่สุด….ชาวจีนอาวุโสอายุย่างเข้าสู่เลข 9 กระซิบบอกเคล็ดลับการดูแลสุขภาพของคนจีนให้กับเราฟังอย่างมีความสุขด้วย
ข้อมูลเดิมช่วยเปลี่ยนความคิดเราไปเยอะเลย…
พบคุณยาย ท่านหนึ่ง ขายขนมแห่งหนึ่งในเมืองกว่างโจว อายุ 92 ปี ท่าทางดูกระฉับกระเฉงไม่เบา นี่ถ้าไม่บอกอายุเราคงคิดว่าอายุคุณยายน่าจะแตะเลข 6 ตอนปลายๆ หรือเลข 7 อย่างแน่นอน และไม่เพียงแค่คุณยายที่เรานั่งคุยด้วยเท่านั้นที่มีความคล่องตัวเกินอายุแบบนี้
ระหว่างทริป 1 สัปดาห์ของเราที่นี่….เรามองเห็นชาวจีนอาวุโสจำนวนมากที่เดินผ่านเข้ามาในสายตาเราล้วนเดินกระฉับกระเฉงอย่างกะสาวๆ เลยหละ
คุณยายเล่าว่า….พฤติกรรมอย่างหนึ่งที่คนจีนชอบทำเป็นกิจวัตรประจำวัน ทุกเพศ ทุกวัย ก็คือ “การออกกำลังกาย” ใครจะรู้ว่าคนจีนชอบออกกำลังกายมากกกก…
การออกกำลังกายในที่นี่ไม่ใช่การเข้ายิมเพื่อไปเล่นลู่วิ่ง อย่างคนไทยที่นิยมกัน
สำหรับคนจีนแล้ว….การออกมาเดินรอบหมู่บ้านช่วงเย็นทุกวันวันละ 1-2 ชั่วโมง เดินไปคุยกันไป พบปะเพื่อนบ้านเรือนเคียง นั้นเป็นกิจกรรมที่ยอดฮิตของคนจีนวัยราวๆ 80 – 100 ปีเลยหละ!
….พอมองกลับมาที่ผู้สูงอายุในไทยนะคะ มีไม่กี่คนหรอกที่อายุเกินเลข 8 แล้วจะชื่นชอบการออกจากบ้าน เพื่อไปสังสรรค์กับคนรุ่นราวๆเดียวกัน ยิ้มและหัวเราะด้วยกัน ซึ่งอาจมีก็ได้ แต่น้อยมากที่จะเห็น
ที่แน่ๆสิ่งที่สัมผัสและมองเห็นได้ด้วยตัวเองนั้น คนจีนที่นี่เกินครึ่งเมืองที่เป็นแบบนี้…
ไม่เพียงเท่านี้ “อาหารจีน” ซึ่งขึ้นชื่อและเลื่องลือในเรื่อง “ความมัน” สำหรับทุกเพศทุกวัยนั่นมีปริมาณความมันเยิ้มพอๆ กัน
ลองคิดดู…ผู้สูงอายุที่กินอาหารประเภทของทอดของมันทุกวันเป็นระยะเวลานานเกือบตลอดช่วงชีวิต ทำไมถึงแข็งแรงได้เพียงนี้?
นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรม “การเต้น” หรือ “การรำ” สไตล์คนจีน ที่มีอยู่หลายแบบมากทั้ง “ชี่กง” เป็นการออกกำลังกายโดยเน้นไปที่การฝึกจิตให้สงบ แต่กลุ่มที่นิยมส่วนใหญ่จะเป็นวัยรุ่นเสียมากกว่า
ส่วน “วูซู” คล้ายเป็นศิลปะการต่อสู้แบบจีนแต่กลับไม่ได้รับความนิยมในประเทศนัก และ “ไท้เก็ก” ซึ่งคุ้นหูคนไทยมากที่สุดและเป็นการออกกำลังกายที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในหมู่สาวๆ หนุ่มๆ ชาวจีนวัยเกิน 85 ปี….เพราะว่า สามารถช่วยดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง ปราศจากโรคภัยได้หลายอย่าง เราจึงไม่แปลกใจที่เห็นชมรมการรำไท้เก็ก อยู่ตามสวนสาธารณะเกือบทุกที่ของที่นี่
สุดท้าย คือ “การนอนกลางวัน” คนจีนจะให้ความสำคัญกับการนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอมากที่สุด โดยในแต่ละวันคนจีนโดยเฉพาะผู้สูงอายุ จะนอนระหว่างวัน วันละ 2 ชั่วโมง แต่บางคนและบางพื้นที่ก็จะนอนเพียง 1 ชั่วโมงเท่านั้น คนจีนเชื่อว่า การหักโหมงานหนักและไม่ยอมนอนกลางวันจะทำให้สมองไม่ปลอดโปร่งและทำมาค้าขายได้ไม่คล่องตัว
ซึ่งข้อนี้เราเชื่อสนิทใจเลย เพราะเถ้าแก่บางร้านไม่ต้องใช้เครื่องคิดเลขในการคิดเงินลูกค้าเลย อย่างต่ำที่เห็นก็เกือบ 20 ร้านได้ที่เจ้าของร้านเป็นผู้อาวุโส
ที่จริงเคล็ดลับเหล่านี้ดูเหมือนจะเป็นสิ่งธรรมดาๆ….แต่ก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่มองข้ามเรื่องของการดูแลสุขภาพตามวิถีธรรมชาติ แม้แต่สังคมไทยเองที่นับวันกำลังเป็นสังคมก้มหน้า ใช้เวลาที่มีค่าอยู่กับจอโทรศัพท์สมาร์ทโฟนกันเป็นส่วนใหญ่ จากเวลานอนที่ควรพักผ่อนให้ครบวันละ 8 ชั่วโมง ก็เหลือเพียง 5-6 ชั่วโมง หรือ 3 ชั่วโมงเสียด้วยซ้ำไป หารู้ไม่ว่า ผลกระทบระยะยาวและแสนไกล แต่แว๊บเดียวเราเดินทางไปถึงก็สายเสียแล้ว โดยเฉพาะจอประสาทตา ที่เพ่งอย่างหนักไม่พักผ่อนเหมือนกับร่างกาย มีโอกาสเสื่อมได้เร็วขึ้น
เด็กในวันนี้คืออนาคตของชาติในวันข้างหน้า หากสังคมไทยยังไม่ตื่นตัวหันมาร่วมกันช่วยกระตุ้นและปลูกฝังการรักตัวเองจากภายในสู่ภายนอก หันมาใส่ใจการออกกำลังกาย และให้เวลาพักผ่อนสมองหลังเหนื่อยล้าจากการทำงานมาตลอดวัน ยังไม่กล้าจินตนาการอนาคตของประเทศไทย ที่ทรัพยากรมนุษย์โตขึ้นมาแบบมีคุณภาพครึ่งๆกลางๆ ….การทำได้เพียงแค่ถอนหายใจกันยาวๆ ไม่ได้ช่วยพัฒนาประเทศได้จริงๆ!!!!
เพิ่มเราเป็นเพื่อนได้แล้ววันนี้!....
ทีมงาน INN WHY? รายการเพื่อผู้บริโภค ร่วมปฏิวัติความคิด ปรับเปลี่ยนชีวิต ก้าวสู่ความมั่นคง หลังเกษียณ
ติดตามเราได้ที่ไลน์แอด @INNWHY.TV หรือ Facebook.com/INNWHY.TV และ Youtube.com/c/innwhy
Contact us : INNWHY31@gmail.com