งานวิจัยชี้ “ปัญหาสุขภาพจิต” เชื่อมโยงกับการบริหารการเงิน

หากพูดถึงปัญหา “สุขภาพจิต” หรือเรื่องราวเกี่ยวกับ“จิตเวช” ในความรู้สึกของคนไทยแล้วส่วนหนึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าน่ากลัว ไกลตัว ขณะอีกฟากหนึ่งของโลกในหลายๆ ประเทศโดยเฉพาะกลุ่มประเทศยุโรป รัฐบาลให้ความสำคัญกับ “ปัญหาสุขภาพจิต” อย่างมาก ทั้งยังให้เป็นหนึ่งในเอกสารสำคัญที่ใช้ในการสมัครงานบางตำแหน่งด้วย อย่างที่ทราบว่าแม้สวัสดิการต่างๆ ของภาครัฐในต่างประเทศอาจจะดีกว่าไทยในบางอย่าง แต่ก็ได้มาซึ่งความเครียดต่างๆ ด้วยเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะกลุ่มคนวัยทำงานในต่างประเทศจำนวนไม่น้อยที่มีปัญหาสุขภาพจิต ผลพวงจากภาวะดังกล่าวทั้งความตึงเครียด ด้านการงาน การเงิน สุขภาพ หรือแม้แต่ปัญหาด้านความสัมพันธ์

ล่า่สุดเว็บไซต์ The Money Advice Service ของรัฐบาลสหราชอาณาจักร(UK) ระบุว่าไว้ ปัญหาสุขภาพจิต นั้น มีความเชื่อมโยงกับความสามารถในการจัดการทางการเงินอย่างมีนัยยะสำคัญ

โดยอธิบายไว้ว่า ความไม่เสถียรทางอารมณ์ หรือ ภาวะเริ่มก่อปัญหาสุขภาพจิต มักส่งผลทำให้เราทำในสิ่งที่โดยปกติไม่ได้ชอบทำ เช่น การช้อปปิ้งที่มากจนเกินไป การกินอาหารราคาแพง การตัดสินใจลงทุนหรือทำธุรกรรมการเงินบางอย่างทั้งที่ไม่ได้ศึกษาอย่างดี หรือแม้แต่การคุยโทรศัพท์ที่มากเกินจำเป็น จนส่งผลให้รอบบิลค่าโทรศัพท์สูงผิดปกติ เป็นต้น

เอฟเฟกต์ต่างๆ เหล่านี้ดูเหมือนจะเป็นเรื่องเล็ก แต่จริงๆ แล้วไม่เล็กเลย  ถือเป็นการส่งสัญญาณความเครียดทางด้านอารมณ์ที่ชัดเจนด้วยซ้ำ

หนึ่งบทความของเว็บไซต์ดังกล่าวนี้ มีขึ้นเพื่อใช้ในการเป็นคู่มือให้คำแนะนำว่า บุคคลที่เริ่มมีปัญหาด้านสุขภาพนั้นควรเริ่มต้นสังเกต และหาทางแก้ไขอย่างไร เพื่อจะได้ไม่กระทบต่อการจัดการทางเงินในระยะยาว

คำแนะนำเบื้องต้นคือ การเปิดใจสังเกตตัวเอง ซึ่งโดยปกติของคนยุโรป เช่น ฝรั่งเศส อังกฤษ และเยอรมนี มีนิสัยใจคอที่ค่อนข้างเก็บเงียบ และเกิดภาวะความเครียดได้ง่าย เพราะด้วยสิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรมการทำงานที่ตึงเครียดไม่ผ่อนคลาย หรือบางครอบครัวไม่ได้เปิดเผยหรือสามารถให้คำปรึกษาที่ดีได้ ดังนั้น รัฐบาลจึงส่งเสริมให้มีหน่วยงานต่างๆเพื่อช่วยการปรับพฤติกรรม และทำให้การพบจิตแพทย์กลายเป็นเรื่องปกติ โดยประชาชนกว่า 50%จะนิยมการพบปะพูดคุยกับจิตแพทย์ โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่น

บางเคสที่ผู้เขียนเคยอ่านในงานวิจัยแห่งหนึ่งของเยอรมนี ระบุว่า สาเหตุหลักๆ ที่พบได้บ่อยว่าเป็นเหตุผลของกลุ่มคนทำงานที่มีปัญหาสุขภาพก็คือ ตกงานกระทันหัน เพราะบริษัทล้มละลายและไม่สามารถจ่ายเงินชดเชยให้กับพนักงานได้อย่างคุ้มค่าซึ่งภาวะความเครียดเกิดขึ้นต่อเนื่อง และในทุกๆ ครั้งที่จะสมัครงานใหม่จำเป็นต้องเข้ารับการตรวจปัญหาสุขภาพจิตประจำปี หากผลประเมินต่ำกว่ามาตรฐานกำหนดถือว่าไม่ผ่านและไม่สามารถสมัครงานได้

สุดท้ายกลายเป็นบุคคลว่างงานและต้องรับสวัสดิการของภาครัฐ แต่มีข้อจำกัด เช่น การช่วยเหลือ100% ในช่วง 6 เดือนแรก และลดลงเป็น 50% หลังจากนั้น ขณะเดียวกันผู้ว่างงานจะต้องแสดงความกระตือรือร้นในการรักษาปัญหาทางจิต รวมถึงสมัครงานอยู่สม่ำเสมอด้วย เพื่อแลกกับการได้รับสิทธิดังกล่าว

นอกจากนี้ ในบทความยังอ้างในกรณีการใช้ใบประเมินว่า มีปัญหาสุขภาพจิตจากจิตแพทย์ว่าสามารถช่วยผ่อนปรน หรือเจรจากับเจ้าหนี้ได้ด้วย ซึ่งไม่ได้หมายถึงแค่ปัญหาสุขภาพจิตขั้นรุนแรงเท่านั้น เนื่องจากผู้ป่วยหรือผู้ที่เริ่มต้นว่ามีความเครียดง่าย หรือ ท้อแท้กับอะไรบางอย่างง่ายๆ จะถือว่าประสิทธิภาพในการทำงานลดลงด้วย ซึ่งตามหลักกฎหมายบุคคลเหล่านั้นจำเป็นต้องพักงาน หรือ ลาออกเพื่อเข้ารับการรักษานั้นหมายถึงผลกระทบต่อความสามารถในการใช้หนี้เพราะขาดรายได้

ทั้งนี้ คำแนะนำจากจิตแพทย์รายหนึ่ง กล่าวว่า หากรู้สึกว่ามีพฤติกรรมทางอารมณ์เปลี่ยนไป จนกระทบต่อการเงิน หรือภาวะที่ใช้เงินเกินตัวจนผิดปกติ นั้นหมายถึงเรากำลังเข้าสู่ความไม่สมดุลทางอารมณ์ในขั้นแรกแล้ว และจำเป็นต้องปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญหรือ จิตแพทย์อย่างต่อเนื่องเพื่อปรับสมดุลชีวิตใหม่นอกจากนี้ ควรขอยุติการใช้บัตรเครดิตต่างๆจากธนาคาร เพื่อป้องกันการใช้จ่ายอย่างไม่รู้ตัว ซึ่งงานวิจัยจำนวนไม่น้อยที่ระบุว่า ความเครียดจากคนส่วนใหญ่มักจะแก้ปัญหาไม่ถูกจุด คือ ช้อปปิ้งแบบประชดหรือ กินเยอะและเลือกของแพง เป็นต้น

 

เพิ่มเราเป็นเพื่อนได้แล้ววันนี้!....