“ตัน อิชิตัน” กำลังจะกลับมาใหญ่
ชื่อของ “ตัน อิชิตัน” ผู้ปั้นอาณาจักรอิชิตัน หายไปพักหนึ่ง พร้อมๆกับตลาดชาเชียวที่หดตัวลงอย่างแรงในปีที่ผ่านมา
ผลประกอบการของ บริษัท อิชิตัน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ICHI ปี 2561 บริษัทมีกำไรเพียง 43 ล้านบาท
และที่น่าห่วงขณะนั้น คือ ไตรมาส 2/2561 ซึ่งเป็นไตรมาสไฮซีซั่น บริษัทกลับขาดทุน 30.37 ล้านบาท
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะ “ธุรกิจชาเขียว” อยู่ในช่วง SUN SET ! แต่กลับมีการแข่งขันที่รุนแรง ผสมกับการเจอปัญหาภาษีสรรพสามิตน้ำตาล และการขาดทุนในอินโดนีเซียจากการไปร่วมลงทุนในธุรกิจชาเชียวที่นั่น กดดัน
ใครจะเชื่อจากราคาจอง “อิชิตัน” ที่ 13 บาท ขึ้นไปสูงสุด 29.75 บาท จะเคยหล่นสุดเหลือเพียง 2.90 บาท เท่านั้น!!!!
นั่นทำให้นักธุรกิจนอกตำรารายนี้ ต้องทำงานหนักแก้บริษัทครั้งใหญ่
กระทั่งเริ่มเห็นแววดีอีกครั้งในปีนี้!!
หลังจาก ผลประกอบการไตรมาส 1/2562 ที่ผ่านมาออกมาสูงถึง 114 ล้านบาท
นี่คือการก้าวกระโดดของกำไรรายไตรมาสที่ขึ้นไปสูงสุดในรอบหลายปี
แม้รายได้จากการขายในไตรมาส 1/2562 จะยังทรงอยู่ที่ 1,319.4 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อยราว 0.2 % จากงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 1,321.5 ล้านบาท
แต่ ตัน กลับมาอยู่ในมุมมองของการตัดสิ่งที่ไม่เป็นกำไรทิ้งไปสำเร็จ
จากที่เคยทู่ซี้ “แบรนด์ไบเล่” ที่ซื้อมาราคาแพงก็หยุด เพราะเข้าใจว่า โปรดักส์ มีวงจรและหมดอายุแล้ว
สินค้าที่หยุดไปนั้นส่งผลดีหลายอย่าง ทั้งด้านของต้นทุนซัพพลายที่ลดลง ต้นทุนการจัดการ ต้นทุนคลัง ต้นทุนการจำหน่าย ต้นทุนการตลาด
สิ่งเหล่านี้ทำให้บริษัทฟื้นขึ้นมาในแง่ของกำไรทันที!!
ขณะเดียวกันก็เข้าใจถึงสถานการณ์การใช้งบโฆษณา ที่มีประสิทธิผลมากกว่าชื่อเสียง
จากที่เคยอัดงบโฆษณาแรงๆ ก็ลดลง หน้าร้อนนี้ ไม่มีหน้า “เสี่ยตันแจกเบ๊นซ์ แจกทอง ผู้ชื้อชาเขียว ปรากฎว่าเปลี่ยนไปทำโปรโมชั่นกับร้านค้าส่ง
ดังนั้นในไตรมาส 2/2562 นั้น อาจจะเห็นกำไรที่กลับมาพิศมัยอีกครั้ง
“ตัน” ยอมรับว่า ตลาดชาเชียวไม่ได้แรงก็จริง แต่ “จุดที่ต่ำสุดของบริษัทได้ผ่านไปแล้ว”
เมื่อมรสุมที่เคยเผชิญ ด้านการกดกำไรหายไป และเขาก็มีความหวังว่า ตลาดชาเชียวจากนี้เป็นการค่อยๆ หักหัวขึ้น แม้ไม่ได้แรงเหมือนเดิม
“เราทำการตลาดด้วยการอัดโปรโมชั่นแรงๆ ทำไปเรื่อย มันก็แผ่ว ปีนี้เราไม่ได้เหมือนเดิม แต่ก็มีการทำกับผู้ค้าส่ง ซึ่งทำให้ต้นทุนในส่วนนี้ลดลงพอควร ดังนั้นปีนี้จะดีกว่ามากขึ้น “ ตัน กล่าวอย่างเข้าใจ
ขณะเดียวกันบริษัทที่ลงทุนในอินโดนีเซียขณะนี้ก็ได้ค้นพบผลิตภัณฑ์ที่เป็นสตาร์ ซึ่งขายแล้วมีกำไร นั้นก็คือ “ชานมไทย” และ กาแฟนม ทำให้การขาดทุนในอินโดนีเซียลดลงจากเดิมเป็นร้อยล้านบาท เป็นขาดทุนราว 30 ล้านบาท นับจากนี้ก็ได้มีการลดผลิตภัณฑ์ที่บุกตลาดไปแล้วไม่ทำกำไรลงมา ซึ่งจะทำให้ผลประกอบการดีขึ้นในปีหน้า
“คือเราเจอสินค้าขายดีแล้วมีกำไร อันที่จริง สินค้าเดิมขายได้ แต่เจอปัญหาการลดราคา ทำให้ไม่สามารถครอบคลุมค่าการตลาด ว่ากันง่ายๆ คือ ขายพันชิ้นขาดทุนหมด แต่ชานมไทย คือ สินค้าที่ คนอินโดนีเซีย ให้ความเชื่อมั่นสินค้าของไทย แม้จะมีคู่แข่ง ดังนั้นเราจะลดสิ่งที่ไม่กำไร สินค้า 8 SKU ของเรา ก็จะมีการลดลงเหลือ 3 SKU ที่ทำกำไรได้ และเมื่อจัดการสต็อกเสร็จแล้ว ซึ่งปีหน้ามีโอกาสที่จะเห็นอินโดนีเซียมีทิศทางที่ดีขึ้น”
ไม่เพียงเท่านั้นบริษัทยังมียอดขายจากการส่งออกทั้งในส่วนของ CLMV จากเดิมที่มียอดการส่งออกราว 2-3% วันนี้ขยับขึ้นมาเป็น 35% และในอนาคตจะส่งออกราว 50% โดยขณะนี้เริ่มส่งออก ไปที่จีนบ้างแล้ว ซึ่งการส่งออกนั้นมีมาร์จิ้น ดีกว่าในไทยเนื่องจากไม่มีภาษีสรรพสามิตน้ำตาล
ดังนั้น ในยอดขายปีนี้ มีโอกาสที่จะเพิ่มขึ้นจากเดิม 10-15% จากปีก่อนที่มีรายได้กว่า 5,216.2 ล้านบาท ทั้งยอดขายในประเทศที่ดีขึ้น และ การส่งออก แต่เน้นย้ำว่า บริษัทจะโฟกัสในส่วนที่มีกำไร
จากที่เคยเน้นด้านการตลาด ชื่อเสียง ซีอีโอมาร์เก็ตติ้ง วันนี้ตันกลับมามองจุดเด่นของ “บริษัท” ที่กว้างขึ้น และใช้ประสิทธิภาพมันให้สูงสุด
นี่จึงเป็นที่มาของหลัก 3 NEW หรือ 3 สิ่งใหม่ ผลักดันบริษัท
นั้นก็คือ NEW SKU คือการออกสินค้าใหม่ที่มีการโฟกัสมากขึ้นว่าสามารถทำกำไรได้ ซึ่ง ใช้จุดเด่นด้านประสบการณ์และทีมงานปัจจุบัน
NEW MARKET เป็นการต่อยอดของสินค้าปัจจุบัน ที่มากกว่าตลาดในไทย ซึ่ง ตันก็ยอมว่าต่างประเทศ มีกำไรดีกว่าไทย แต่ก็ต้องเผชิญกับสิ่งท้าทายกับการคัดเลือกผู้แทนจำหน่าย (ดิสทริบิวเตอร์) ที่มีความสามารถ ซึ่งก็จะต้องติดตามและปรับกลยุทธ์อย่างต่อเนื่อง
และ NEW BUSINESS นั้นก็คือ การดำเนินธุรกิจใหม่ที่ไม่ใช่เครื่องดื่ม โดยใช้ทีมงานและความสามารถด้านการตลาด
“ยังอยู่ในไลน์ของสินค้าอุปโภคบริโภค ทั้งสินค้าอาหารหรือไม่ใช่อาหารก็ได้ ซึ่งบริษัทค่อนข้างจริงจังกับธุรกิจใหม่ โดยได้จัดโครงสร้างแยกหน่วยธุรกิจใหม่ออกไปเลย เพื่อให้เลี้ยงตัวเองได้ โดยไม่นำธุรกิจหลักเข้าไปอุ้ม”
ขณะเดียวกันธุรกิจใหม่ก็จะไม่มีการลงทุนขนาดใหญ่ โดยจะเป็นการจ้างผลิต และใช้จุดแข็งด้านการตลาดของบริษัทในการดำเนินการ ดังนั้นบริษัทจะต้องสามารถสร้างกำไรและกระแสเงินสดเข้ามาเลย
พร้อมกันนี้ ในส่วนโรงงานผลิต บริษัทก็จะสร้างรายได้จากการรับจ้างผลิตเครื่องดื่ม ให้กับผู้ผลิต ด้วยโรงงานผลิตที่ทันสมัยของบริษัท ซึ่งขณะนี้ได้มีลูกค้าแล้ว กำลังดำเนินการ
เส้นทางของ ตัน ICHI จากนี้จึงไม่ใช่เจ้าพ่อชาเชียว เจ้าพ่อเครื่องดื่ม แต่สิ่งที่เค้าจะทำนั้นคือกำไร สะท้อนออกมาในผลประกอบการ และอาจจะทำให้ความมั่นคั่งของ “ตัน” เพิ่มขึ้น
เป็นการกลับมายิ่งใหญ่ในแง่ของ “ความมั่งคั่ง” มากกว่าคำว่า “นักการตลาด” และ “ชื่อเสียง”.
เพิ่มเราเป็นเพื่อนได้แล้ววันนี้!....
ทีมงาน INN WHY? รายการเพื่อผู้บริโภค ร่วมปฏิวัติความคิด ปรับเปลี่ยนชีวิต ก้าวสู่ความมั่นคง หลังเกษียณ
ติดตามเราได้ที่ไลน์แอด @INNWHY.TV หรือ Facebook.com/INNWHY.TV และ Youtube.com/c/innwhy
Contact us : INNWHY31@gmail.com