ภัยธรรมชาติสร้างความสูญเสียให้บริษัทประกันปีที่แล้ว 120,000 ล้านดอลลาร์

บริษัทมิวนิค รี เปิดเผยเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาว่า พายุเฮอร์ริเคนและสภาพอากาศที่หนาวเหน็บอย่างฉับพลันในสหรัฐเมื่อปี 2564 ได้สร้างความเสียหายมากสุดเป็นประวัติการณ์เป็นครั้งที่สองให้แก่บริษัทประกันทั่วโลก

ความสูญเสียที่เกิดจากภัยธรรมชาติที่มีการทำประกันมีมูลค่าทั้งหมดประมาณ 120,000 ล้านดอลลาร์ในปีที่ผ่านมา ซึ่งมากสุดเป็นประวัติการณ์เป็นครั้งที่สอง รองจากความเสียหาย 146,000 ล้านดอลลาร์ที่เกิดจากพายุเฮอร์ริเคนเมื่อปี 2560

การประเมินความสูญเสียประจำปีของมิวนิค รี ซึ่งเป็นบริษัทประกันภัยต่อรายใหญ่ที่สุดของโลก สูงกว่าที่บริษัทคู่แข่ง สวิสรี ได้ คาดการณ์ไว้ที่ 105,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐเมื่อเดือนที่แล้ว

มิวนิครี กล่าวว่า พายุทอร์นาโดที่ได้เข้าถล่มสหรัฐหลายสิบลูกในเดือนธันวาคม และพายุเฮอร์ริเคนไอดา และสภาพอากาศที่เป็นน้ำแข็งในเท็กซัสเมื่อต้นปีนี้ เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดความสูญเสียมากผิดปกติ และการวิจัยเกี่ยวกับสภาวะอากาศยืนยันมากขึ้นว่า น่าจะมีสภาพอากาศที่รุนแรงเพิ่มอีก

ประชาชนเกือบ 10,000 คนเสียชีวิตจากภัยพิบัติทางธรรมชาติซึ่งสอดคล้องกับปีก่อนหน้า ความสูญเสียทั้งหมดซึ่งรวมถึงความเสียหายที่ไม่มีประกัน มีมูลค่า 280,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งสูงเป็นประวัติการณ์เป็นอันดับสี่

พายุเฮอริเคนไอดา ซึ่งได้สร้างความเสียหายตั้งแต่นิวออร์ลีนส์จนถึงนิวยอร์ก ส่งผลให้บริษัทประกันภัยสูญเสียเงินจำนวน 36,000 ล้านดอลลาร์ ขณะที่พายุฤดูหนาวที่พัดถล่มรัฐเท็กซัสเป็นหลัก ส่งผลให้เกิดความสูญเสียประมาณ 15,000 ล้านดอลลาร์ และอุทกภัยในเยอรมนีก็สร้างความเสียหายหลายพันล้านเช่นกัน

เอิร์น รอช หัวหน้านักวิทยาศาสตร์ด้านสภาพอากาศและภูมิศาสตร์ทของมิวนิค รี กล่าวว่า “สถิติภัยพิบัติในปี 2564 นั้นน่าตกใจมาก เนื่องจากเหตุการณ์ที่สภาพอากาศรุนแรงมีแนวโน้มว่าจะเกิดบ่อยขึ้นหรือรุนแรงขึ้นอันเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

นักวิทยาศาสตร์หลายคนเห็นพ้องกันว่าเหตุการณ์ในปี 2564 นั้นรุนแรงขึ้นเพราะการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ และยังมีเหตุการณ์ที่จะเลวร้ายอีกมากที่จะเกิดขึ้นในขณะที่ชั้นบรรยากาศของโลกร้อนขึ้นต่อเนื่องไปจนตลอดทศวรรษหน้าและต่อๆไป

ปีที่มีความสูญเสียสูงสุดเป็นประวัติการณ์คือปี2560 โดยมาจาก เฮอริเคนฮาร์วีย์ เออร์มา และมาเรีย ส่วนปีอื่นๆที่เกิดความสูญเสียรุนแรงเช่นกัน คือปี 2554 เมื่อเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในญี่ปุ่นและนิวซีแลนด์ และปี 2548 เมื่อพายุเฮอริเคนแคทรีนาทำลายล้างเมืองนิวออร์ลีนส์

บริษัทประกันบางแห่ง ได้ขึ้นเบี้ยประกันโดยเป็นผลมาจากแนวโน้มที่จะเกิดภัยพิบัติเพิ่มขึ้นขณะที่บางแห่งหยุดให้ความคุ้มครอง

ขณะที่บริษัทประกันออกมาเตือนเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศและค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง แต่ก็ต้องเจอแรงกดดันจากนักเคลื่อนไหวที่ให้หยุดรับทำประกันแก่อุตสาหกรรมที่สร้างมลภาวะ